วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ข้อเสียจากการใช้งานพื้นหินอ่อน

ข้อเสียจากการใช้งานพื้นหินอ่อน

พื้นหินอ่อนเมื่อมีการถูกใช้ไปสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว มักจะเกิดการเปลี่ยนสีขึ้น เหตุเนื่องจากสภาพการใช้งานและสภาพอากาศ แรงกระแทก รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ด้วย
ซึ่งมีวิธีการแก้ไข  ดังนี้
- ถ้าหากพื้นหินอ่อนของบ้านคุณผิวไม่เรียบ เดินบนพื้นหินอ่อนแล้วมีการสะดุดให้ดำเนินการแก้ไขด้วยการปรับระดับหน้าหิน อ่อน แต่ถ้าเป็นมากให้ติดต่อช่างผู้ที่มีความชำนาญงานในเรื่องพื้นหินอ่อนโดย เฉพาะ จากบริษัทผู้ผลิต ผู้ขายหินอ่อน หรือร้านรับติดตั้งพื้นหินอ่อน ให้ทำการรื้อพื้นหินอ่อนออกทั้งหมดแล้วจึงทำการปรับระดับพื้นหินอ่อนใหม่
- ปัญหาพื้นหินอ่อนด้าน หมดความเงางาม และมีรอยขีดข่วนเนื่องจากการใช้งาน ให้แก้ไขด้วยวิธีการลอกหน้าหินอ่อนโดยการขัดหน้าหินอ่อนใหม่ ซึ่งในการขัดหน้าหินอ่อนใหม่นี้จะต้องใช้ความเร็วรอบที่ต่ำ เพื่อป้องกันการเกิดรอยขนแมวและรอยเป็นวง
- ถ้าพื้นหินอ่อนมีรอยแตกร้าว ให้ทำการอุดรอยแตกนั้นด้วยโพลีเอสเตอร์เรซิ่นหรือทำการเปลี่ยนแผ่นหินใหม่ก็ได้
- ปูนยาแนวหลุดร่อน แก้ไขโดยยาแนวใหม่ด้วยปูนยาแนวสีเดิม
- สีของหินอ่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงและขุ่นมัว โดยเกิดจากฝุ่นที่ฝังอยู่ในหินอ่อนเคลือบแวกซ์ แก้ไขโดยการลอกแวกซ์ออก แล้วทำการขัดเงาและลงน้ำยาขัดเงาตามหลัง
ทั้งนี้คุณสามารถขอรับคำเสนอแนะในการใช้งานพื้นหินอ่อนได้จากแหล่งซื้อ ขายหินอ่อนที่มีอยู่ทั่วไป 




วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

การใช้งานสีกรดย้อมคอนกรีต


• Concrete Acid Stain •
——————————————————-
สีกรดย้อม : เป็นสีย้อมผิวคอนกรีตที่มีค่าความเป็นกรดด่างน้อยกว่า 7(pH<7) ซึ่งเมื่อทาลงพื้นผิวที่มีความเป็นด่าง (pH >7) เช่น คอนกรีตหรือผิวปูนซีเมนต์ที่แห้ง และแข็งตัวเต็มที่ หรือพื้นผิวที่มีซีเมนต์เป็นส่วนประกอบ สีกรดย้อมคอนกรีต จะแทรกซึมเข้าไปในพื้นผิวและเกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น ทำให้สีติดแน่นคงทนไม่หลุดล่อน ตราบเท่าความคงทนของพื้นผิวนั้นๆ คือ หากพื้นผิวชำรุดแตกหักเท่านั้น สีกรดย้อมก็จะหลุดตามพื้นผิวนั้นเอง

เคาท์เตอร์ทอป
• สีกรดย้อมคอนกรีตงานตกแต่ง เคาเตอร์ ครัว •
———————————————————-
   สีกรดย้อมคอนกรีตสีกรดย้อมคอนกรีตเป็นท๊อปปิ้งซีเมนต์ ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษ สามารถแทรกซึมและยึดเกาะพื้น ผิวคอนกรีตได้ดีให้ความโปร่งแสงของสีที่ย้อมหรือทึบแสงได้ตามต้องการ สามารถออกแบบลวดลาย สีได้ตามต้องการกลิ่นเบา บางไม่ส่งกลิ่นรบกวนผู้ใช้ อีกทั้งยังเป็นระบบน้ำซึ่งปลอดภัยต่อผู้ใช้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

เคาท์เตอร์ทอป
• การใช้งานสีกรดย้อมคอนกรีต •
——————————————————-
วิธีใช้ สามารถใช้ได้โดยตรงไม่ต้องเจือจาง โดยการทาด้วยแปรงลูกกลิ้งหรือพ่น สามารถผสมสีก่อนการย้อม หรือในขณะที่ทำงานได้ สามารถเพิ่มความเข้มของสีได้ตามที่ต้องการ โดยการเพิ่มจำนวนครั้งที่ย้อม สีของพื้นผิวซีเมนต์มีผลต่อสีกรดที่ย้อมจึงควรทดลองย้อมลงพื้นที่เล็กๆก่อน การทำงานจริง สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกความคงทนสีขึ้นอยู่คุณภาพพื้นผิวคอนกรีต พื้นที่ใช้งาน 1 ลิตรสามารถครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 25-30 ตรม. โดยประมาณ
——————————————————————–

สีกรดย้อมคอนกรีต

การทำสีกรดย้อมบนพื้นคอนกรีต

สีกรดย้อมคอนกรีต  ACID COLOR STAIN
  สี กรดย้อม เป็นเทคนิคเก่าแก่ในการทำสีบนผิวคอนกรีตโดยมีส่วนผสมของน้ำ, กรด และ เกลืออนินทรีย์ เป็นตัวเกิดปฏิกิริยากับส่วนของปูนซีเมนต์ และเมื่อนำไปทาบนผิวคอนกรีต (ปูนซิเมนต์แข็งตัว) ก็จะทำให้เกิดสีขึ้น สีที่เกิดจะติดแน่น มีความโปร่งใส การเกิดสีจะเป็นไปตามผิวคอนกรีตใหม่เก่า และปริมาณอัตราส่วนของซีเมนต์ที่ใช้
สี กรด เมื่อทาลงพื้นผิวคอนกรีตหรือผิวปูนซีเมนต์ที่แห้ง และแข็งตัวเต็มที่ หรือพื้นผิวที่มีซีเมนต์เป็นส่วนประกอบ สีจะแทรกซึมเข้าไปในพื้นผิวและเกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น ทำให้สีติดแน่น คงทนไม่หลุดล่อน ตราบเท่าความคงทนของพื้นผิวนั้นๆ

ขั้นตอนการทำสีกรดย้อมบนพื้นคอนกรีต
1.ทำความสะอาดพื้นผิวที่ต้องการย้อม และใช้ดินสอหรือชอล์กวาดแบบ กรณีที่พื้นไม่เรียบให้ปรับให้เรียบอาจใช้วิธีขัดหรือฉาบใหม่
2.ใช้เลื่อยตัด(ลูกหนู)ตัดไปตามแบบที่วาดไว้ ไม่ควรให้ล่องลึกมาก
3. ลงสีกรดย้อมบริเวณทีต้องการ ด้วยแปรง การพ่น ผ้า หรือฟองน้ำโดยลงที่ละชั้น ลงสีอ่อนก่อนลงสีเข้ม
5.เมื่อ ลงสีครบตามต้องการ ปล่อยทิ้งให้แห้งและใช้น้ำเปล่า หรือน้ำผสมด่าง เช็ดล้างผิวอีกครั้งเพื่อขจัดเกลือที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาและขจัดสีที่ เหลือจากการทำปฏิกิริยา 6.ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งจากนั้นทาเคลือบผิวหน้าด้วยน้ำยาเคลือบใส(clear sealer)ตามต้องการ ปล่อยให้แห้ง
4) ปล่อยให้สีชั้นแรกแห้งก่อนที่จะลงสีชั้นอื่นๆ ซึ่งแต่ละชั้นต้องแห้ง ก่อนลงชั้นต่อไป

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

วัสดุที่ใช้ทำ Counter Top, วิธีทำความสะอาด และการดุแลรักษา

วัสดุที่ใช้ทำ Counter Top, วิธีทำความสะอาด และการดุแลรักษา



1. หินแกรนิต
เป็นหินที่ได้จากหินลาวา มีความแข็งแรง ทนความร้อน มีหลายสีส่วนใหญ่จะมีเกล็ดของแร่ธาตุ
เป็นเม็ดเล็กๆกระจายอยู่ในเนื้อหิน แบ่งได้เป็นสองปะเภท คือ ประเภทที่มีสีเดียว
และประเภทที่มีลายเป็นเส้นๆหลายสี มีการดูดซึมน้ำของเนื้อหินเนื่องจากมีรูพรุนในเนื้อหิน
ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดเชื้อราได้

วิธีทำความสะอาดและวิธีการดูแลรักษา1. ใช้ผ้าชุบน้ำ หรือน้ำยาทำความสะอาดหิน บิดให้หมาด เช็ดถูอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
2. ไม่ควรใช้ สบู่, ผงซักฟอก หรือกรดใดๆมาทำความสะอาดหิน
3. หากต้องการให้หินเงางามอยู่เสมอ ควรขัดมันหิน ประมาณ 3-4 ปีต่อครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ

2.หินอ่อน
เป็นหินที่เกิดจากหินปูน มีสีและลวดลายสวยงาม ดูหรูหรา สะอาดตา มีความแข็งแรง
น้อยกว่าหินแกรนิต ไม่ทนความร้อน และมีรูพรุนในเนื้อหินมากกว่าหินแกรนิตทำให้
คราบไขมัน น้ำ กลิ่นอาหาร ฝังตัวในเนื้อหินได้ง่าย

วิธีทำความสำอาดและวิธีการดูแลรักษา
1. ใช้ผ้าชุบน้ำ หรือน้ำยาทำความสะอาดหิน บิดให้หมาด เช็ดถูอาทิตยละ 1-2 ครั้ง
2. ไม่ควรใช้ สบู่, ผงซักฟอก หรือกรดใดๆมาทำความสะอาดหิน
3. หากต้องการให้หินเงางามอยู่เสมอ ควรขัดมันหิน ประมาณ 3-4 ปีต่อครั้งโดย
ผู้เชี่ยวชาญ

3. กระเบื้องเซรามิก
กระเบื้อง เซรามิกโดยทั่วไปถูกผลิตขึ้นจากการเผาดินเหนียวที่อุณหภูมิสูง แต่ปัจจุบันมีการผสมวัสดุหลากหลายประเภท เพื่อให้เกิดความแข็งแรง ทนความร้อน
และไม่ดูดซับน้ำ มีลวดลาย สีสันและผิวสัมผัสให้เลือกใช้มากมาย ทนต่อการขีดข่วน
ผิวไม่ซึมน้ำ หากมีแผ่นใดชำรุดสามารถซ่อมแซมเฉพาะจุดได้

วิธีทำความสำอาดและวิธีการดูแลรักษา
1. ใช้ผ้าชุบน้ำผสมผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างจานเจือจาง บิดให้หมาดแล้วเช็ด
จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ด แล้วเช็ดให้แห้ง
2. ไม่ควรใช้สารเคมีที่เป็นกรดมาทำความสะอาด
3. ควรขัดทำความสะอาด คราบสกปรกบริเวณปูนยาแนวอย่างสม่ำเสมอ

4. พลาสติกลามิเนต
พลาสติกลามิเนตผลิตขึ้นจากกระดาษ, เรซิน และพลาสติก มีสี ลวดลาย และผิวสัมผัส
มากมาย รวมทั้งความแข็งแรงหลายระดับ ติดตั้งโดยทากาวแล้วติดลงบนแผ่นไม้อัด
สามารถดัดโค้งได้ อาจเกิดรอยขีดข่วนจากของมีคมได้ง่าย

วิธีทำความสำอาดและวิธีการดูแลรักษา
1. ใช้ผ้าชุบน้ำผสมผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างจานเจือจางบิดให้หมาดแล้วเช็ด แล้วใช้ผ้า
ชุบน้ำสะอาดเช็ด จากนั้นเช็ดให้แห้ง
2. ห้ามขัดด้วยวัสดุผิวหยาบจะทำให้เกิดรอยขีดข่วน
3. ระวังอย่าให้เปียกน้ำ เนื่องจากจะทำให้กาวละลายและลามิเนตบวม
4. ไม่ควรวางภาชนะที่มีความร้อนสูงลงบนพื้นผิวโดยตรงเพราะจะทำให้เป็นรอยไหม้



วิธีทำความสำอาดและวิธีการดูแลรักษา
1. ใช้ผ้าชุบน้ำผสมผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างจานเจือจาง บิดให้หมาดแล้วเช็ด จากนั้น
ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ด แล้วเช็ดให้แห้ง
2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดสเตนเลสสตีลโดยเฉพาะทำความสะอาด
5. หินสังเคราะห์
เป็นหินที่เกิดจากการผสมเนื้อหินกับสารเคมีเพื่อให้มีความแข็งแรงและสีสันที่หลายหลาย
กว่าหินในธรรมชาติ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามผู้ผลิต ทนความร้อน รอยขีดข่วน
กรด และด่าง ไม่ซึมน้ำเพราะผิวไม่มีรูพรุน ทำความสะอาดง่าย แต่มีราคาสูงมาก

แบ่งเป็นประเภทต่างๆตามกระบวนการผลิตดังนี้

1. Conglomerate stone คือ การนำเศษหิน กรวด หลายชนิด และขนาดแตกต่างกัน
โดยใช้คอนกรีต หรือโพลีเอสเตอร์เรซิ่นเป็นตัวประสานให้หินยึดติดกัน และเคลือบโดยมีการ
ผสมสารเคมีลงเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ทนต่อการขีดข่วน ทนต่อสภาวะกรดและด่าง
ไม่ดูดซึมน้ำ และป้องกันรังสี UV ทำให้หินไม่เปลี่ยนสีเมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานาน
ใช้ในงานตกแต่ง

2. Compress stone คือ การนำหินอ่อน หินแกรนิต หรือ หินควอทซ์มาย่อยให้มีขนาดเล็ก
ในปริมาณประมาณมากกว่า 92 % แล้วผสมกับโพลีเอสเตอร์เรซินชนิดพิเศษ ซึ่งเรซินจะเป็น
ตัวประสารให้เม็ดหินเกาะกัน แล้วอัดเป็นแผ่น จากนั้นนำเข้าอัดระบบสุญญากาศ แล้วนำมา
ขัดแต่งให้เรียบร้อย ซึ่งจะมีคุณสมบัติรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับหินธรรมชาติมาก แต่แข็งแรงกว่า
เป็นเงางาม ทนสารเคมี ไม่ดูดซับน้ำ และทนต่อแสงแดด หินที่ทำมาจากหินออ่อน
และแกรนิตเหมาะสำหรับใช้ภายใน ส่วนหินที่ทำมาจากหินควอทซ์เหมาะสำหรับใช้ภายนอก

วิธีทำความสำอาดและวิธีการดูแลรักษา1. ใช้ผ้าชุบน้ำผสมผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างจานเจือจาง บิดให้หมาดแล้วเช็ด จากนั้น
ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ด แล้วเช็ดให้แห้ง
2. ใช้น้ำยาทำความสะอาดหินโดยเฉพาะ ทำความสะอาดตามคำแนะนำของผู้ผลิต
3. ไม่ควรใช้สารเคมีที่มีส่วนผสมของสารฟอกขาว หรือคลอรีนมาทำความสะอาด
4. ระวังรอยขีดข่วนจากของมีคม แต่ถ้าเกิดรอยแล้วสามารถแก้ไขได้ด้วยน้ำยาสำหรับ
หินสังเคราะห์โดยเฉพาะ
5. ขัดเงาด้วยน้ำยาขัดเงาทุก 6 เดือน


วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

พื้นปูนขัดมัน


พื้นปูนขัดมันมี 2 แบบ ได้แก่
1. พื้น คสล. (คอนกรีตเสริมเหล็ก) ผิวขัดมัน มีอีกชื่อหนึ่งว่า พื้นปูนแบบขัดสด ทำโดยใช้การผูกเหล็กเสริม (หรือที่เรียกว่า การวาง wire mesh) แล้วเทคอนกรีตโครงสร้าง
2. พื้นปูนทรายปรับระดับ ผิวขัดมัน แบบนี้จะใช้วิธีเทพื้นคอนกรีตแล้วขูดหน้าลายไว้ โดยที่จะ set ระดับพื้นคอนกรีตให้ต่ำกว่าความต้องการประมาณ 3-5 เซนติเมตร

ขั้นตอนการทำพื้นปูนขัดมัน
พื้น คสล. (คอนกรีตเสริมเหล็ก)
1. เทคอนกรีตโครงสร้าง จากนั้นทำการปรับระดับให้ได้ตามต้องการ
2. เมื่อคอนกรีตเริ่มแห้งหมาดๆ ให้โรยปูนซีเมนต์ผง หรือปูนซีเมนต์ผสม ลงบนผิวหน้า
3. ขัดให้เรียบด้วยเกรียงเหล็ก

พื้นปูนทรายปรับระดับ
1. ผสมปูนเทปรับระดับให้ได้ตามต้องการ ความสูงที่นิยมทั่วไปคือ 3 เซนติเมตร
2. เมื่อปูน-ทรายเริ่มแห้งหมาดๆ ให้โรยปูนซีเมนต์ผง หรือปูนซีเมนต์ผสม ลงบนผิวหน้า
3. ขัดให้เรียบด้วยเกรียงเหล็ก
ขั้นตอนข้างต้นส่วนมากจะใช้กันพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยมากแล้วช่างจะใช้เครื่องขัดพื้นปููน หรือ “คอปเตอร์” ซึ่งหากใช้เครื่องขัดก็ไม่จำเป็นต้องโรยปูนซีเมนต์ผงก็ได้ วิธีนี้จะอาศัยปูนซีเมนต์ที่ลอยขึ้นมาที่ผิวหน้าระหว่างที่คอนกรีตหรือ ปูน-ทราย set ตัว

ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดนะครับ แต่สิ่งสำคัญคือ ช่างที่ทำงานเรียบร้อย และการดูแลหลังทำเสร็จมากกว่า

การดูแลรักษาปูนขัดมัน
1. การใช้ซิลิโคนทาเคลือบผิวหน้า เป็นน้ำยาที่ใช้เคลือบดูแลพื้นผิวปูน ลดการเกิดฝุ่นหรือเป็นขุย แต่ไม่ป้องกัน การแตกร้าว
2. การใช้ Epoxy ใสทาเคลือบ ซึ่งเทคโนโลยีด้านสีที่พัฒนาขึ้นมากในทุกวันนี้ Epoxy ใสจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับการเคลือบผิวพื้นปูนเปลือย โดยมีให้เลือกทั้งแบบเงา กึ่งเงา และด้าน
3. การใช้ Wax เคลือบผิว ทำได้ง่ายๆ คือ ใช้ Wax น้ำ ทาหลายๆ ครั้ง พื้นปูนขัดมันจะเงาขึ้นได้ การลง Wax เป็นการช่วยเคลือบผิวอีกทีเหมือน Wax ขัดรถยนต์ หากต้องการให้เงางามอยู่ตลอด จะต้องลง Wax เป็นระยะแล้วแต่ความหนาของ Wax ที่ซึมลงไปเพื่อให้คงความเงาอยู่ตลอดเวลา

ปัญหาของปูนขัดมัน
1. เห็นรอยแตกร้าวค่อนข้างชัดเจน (บางคนคิดว่าเป็นธรรมชาติและดูคลาสสิคดี)
2. มีการแตกตามรอยจับระดับพื้น (จับเซี้ยม)
3. การใช้ Wax ขัด หรือ Epoxy ชนิดเงา จะทำให้ความไม่เรียบของพื้นผิวเห็นชัดขึ้น
4. หากเทไม่ดีอาจจะร่อนได้ในอนาคต
5. หากต้องแก้ไขทั้งหมดเนื่องจากการทุบเฉพาะส่วนที่เกิดปัญหาแล้ว สีของเนื้อการขัดมันใหม่จะไม่เข้ากับสีเนื้อเดิมและเห็นเป็นรอยสกัดได้

ขั้นตอนการทา Epoxy เคลือบผิว
เนื่องจากพื้นปูนขัดมันจะมีพื้นผิวที่มัน ฉะนั้นโดยทั่วไปจึงทา Epoxy ไม่ติด จึงต้องมีการทารองพื้นชนิดแทรกซึมผิวก่อนที่จะทา Epoxy ทับ โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. เริ่มต้นด้วยการเตรียมพื้นที่ให้สะอาด ปราศจากฝุ่นและไขมันบนพื้นผิว
2. ต่อไปให้ผสมรองพื้นแทรกซึมผิว เป็น Epoxy ชนิด 2 ส่วน A:B ด้วยปริมาณ 2:1 หมายความว่า A 2 ส่วน ต่อ B 1 ส่วน พร้อมกับผสมทินเนอร์ที่ใช้กับรองพื้นแทรกซึมผิวไม่เกิน 25% จากนั้นคนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน
3. ทาพื้นด้วยรองพื้นแทรกซึมผิว แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 12 ชั่วโมง
4. จากนั้นผสมสี Epoxy ใส A:B ด้วยอัตราส่วน 4:1 พร้อมกับทินเนอร์สำหรับผสม Epoxy ใสไม่เกิน 25% จากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
5. เมื่อผสมส่วนผสมต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทา Epoxy ใส โดยเมื่อทาเสร็จจะต้องทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 3 วัน จึงจะใช้งานได้

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

การดูแลรักษาหินอ่อนอัดหรือหินเทียม


การดูแลรักษาหินอ่อนอัดหรือหินเทียม
การดูแลรักษาหิน มีขั้นตอนและวิธีการดูแลรักษาเหมือนหินอ่อนทั่ว ๆ ไป คือ ต้องดูแลรักษาให้สะอาดอยู่เสมอทั้งนี้เนื่องจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ สะสมเป็นเวลานานและสารเคมีประเภทกรดจะทำให้หินอ่อนที่สดใสหม่นหมองลงได้ การทำความสะอาดสามารถแบ่งตามพื้นที่การใช้งานได้ 2 แบบดั้งนี้

1.การทำความสะอาดสำหรับบ้านพักอาศัย (Private Area)
การดูแลรักษาเองทุกวัน
1.1ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำยาทำความสะอาด(ที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นกรด)ที่มีขายตาม ท้องตลาดทั่วไป เช่นน้ำยาทำความสะอาด(วิม)ผสมน้ำให้เจือจางแล้วเช็ดถูด้วยผ้านุ่มหรือล้างทำ ควาสะอาดตามปกติทั่วไปก็ได้
1.2 หากมีคราบสิ่งสรกปรกมาก ให้ใช้น้ำสบู่ทาให้ทั่วและขัดด้วยแปรงสีฟันหรือแปรงขนอ่อนเบาๆ จากนั้นใช้น้ำเปล่าล้างให้ทั่ว จะช่วยขจัดคราบสิ่งสรกปรกได้
ข้อควรระหวัง : ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติที่เป็นกรด (วิกซอร์,เป็ด) และหลีกเลี่ยงการขัดถูอย่างรุนแรง(จากสก็อตไบรท์หรืแปรงลวด)เนื่องจากจะทำ ให้หินอ่อนหรือหินเทียมเป็นรอยและความเงางามของผิวหน้าลดลง
การดูแลรักษาเองทุก 6 เดือน
1.1 เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ สำหรับหินอ่อน หรือหินอ่อนเทียม ผสมน้ำในอัตราส่วนตามที่แต่ละบริษัทของน้ำยาทำความสะอาดระบุไว้ใช้ผ้านุ่ม หรือผ้าสะอาดที่ผสมน้ำยาแล้วบิดหมาดๆทำการเช็ดถูหินเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
1.2 ในบริเวณที่มีคราบสกปรกมากให้ทำความสะอาด โดยใช้ผงดูดซับคราบสกปรกสำหรับหินที่มีขายทั่วไปในการทำความสะอาดและล้างออก ด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง
1.3 ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำยาเคลือบเงาชนิดน้ำ หรือแว็ก (WATER BASE) ผสมน้ำ เช็ดให้ทั่วพื้นที่ปล่อยทิ้งไว้จนแห้งใช้ผ้าแห้งสะอาดขัดเช็ดอีกครั้งจนเกิด ความเงาการใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบเงาเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้งจะทำให้ผิว หน้าของหินคงสภาพความเงางามยิ่งขึ้น
2. การทำความสะอาดสำหรับสถานที่สาธารณะ (Public Area)
สถานที่สาธารณะเช่น โถงล็อบบี้, ศูนย์อออกำหลังกายฟิตเนส เป็นพื้นที่ที่มีการสัญจรมาก จึงควรมีการดูแลเป็นพิเศษ เพราะนอกจากฝุ่นละอองและคราบสกปรกแล้วยังจะมีเม็ดทรายที่มากับรองเท้าของผู้ ที่มาใช้บริการในสถานที่นั้น ๆ โดยมีการดูแลรักษาได้ดังนี้
2.1 เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ใช้สำหรับหินอ่อนหรือหินอ่อนเทียม ผสมน้ำในอัตราส่วนตามที่แต่ละบริษัทของน้ำยทำความสะอาดระบุไว้ ใช้ผ้านุ่มหรือผ้าสะอาดที่ผสมน้ำยาแล้วบิดหมาดทำการเช็ดถูผิวหินเป็นประจำ ทุกวันเช้าหรือเย็นและควรมีการใช้ม็อบถูพื้น ดันฝุ่นเมื่อมีฝุ่นทรายในพื้นที่
2.2 ในบริเวณที่มีคราบสกปรกมากให้ทำความสะอาดโดยใช้ผงดูดซับคราบสกปรกสำหรับหิน ที่มีขายทั่วไป ในการทำความสะอาดและล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง
2.3 ถ้าความเงาของผิวหน้าหินลดลงหรือหมดความเงางามให้ทำการขัดเงาผิวหินใหม่ด้วย ผงขัดสำหรับฟื้นฟูสภาพ (5 EXTRA) เพื่อฟื้นฟูสภาพความเงางามของผิวหน้าหินตามขั้นตอนดังนี้
ผสมผงขัดเงา (5 EXTRA) ในอัตราส่วน 2 ช้อนต่อน้ำ 1 แก้วแล้วขัดด้วยเครื่องขัดพื้น โดยใช้แผ่นใยขัดสีแดงหรือสีขาวทำการขัดจนเกิดความเงา แล้วเคลือบผิวหน้าด้วยแว็กเพื่อให้เกิดความเงางามกับหินอีกครั้ง
2.4 การดูแลรักษาความเงางามผิวหน้าของหิน ควรทำการเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบเงาชนิดน้ำ หรือแว็ก (WATER BASE) ผสมน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สำหรับพื้นที่สาธารณะโดยทั่วไป
หมายเหตุ : ควรสอบถามวิธีใช้ผลิตภัณฑ์ กับทางบริษัทที่ผลิต หรือจำหน่าย เช่น น้ำยาทำความสะอาด, น้ำยาเคลือบ หรือแว็กเคลือบ หรือผงสำหรับฟื้นฟูสภาพโดยละเอียดก่อนใช้งาน เพื่อการดูแล และบำรุงรักษาได้อย่างถูกต้อง

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

การปูพื้น

การปูพื้น
พื้นบ้านนับเป็นส่วนประกอบที่โดดเด่นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน เพราะจะปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไปทุกห้อง การปูพื้นจึงเป็นงานที่มี ลักษณะกึ่งงานตกแต่งกึ่งงาน ก่อสร้าง พื้นบ้านสามารถสะท้อนให้เห็นถึงฐานะและความมีรสนิยมของเจ้าของบ้านโดยดูจาก วัสดุปูพื้น ที่เลือกใช้ และสามารถแสดงให้เห็นถึง งานสร้างสรรค์ ทางศิลปะโดยดูจากการออกแบบและความประณีตในการทำ จึงไม่น่าแปลกใจที่ จะพบว่าเจ้าของบ้านบางรายมีความพิถีพิถัน อย่างมากในการเลือก ใช้วัสดุปูพื้น ตลอดจนถึงการเลือกช่างที่มีฝีมือ และความชำนาญในการ ปูพื้นชนิดต่างๆ
นอกจากการมองในด้านของความสวยงามแล้ว เนื่องจากพื้นที่หรือบริเวณต่างๆ ในตัวบ้านจะมีลักษณะการใช้สอยที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการเลือกใช้วัสดุ ปูพื้น ให้เหมาะสมกับการใช้สอยในแต่ละห้องแต่ละจุดจึงเป็นสิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญ เช่นเดียวกัน มิใช่จะมอง แต่ด้านความสวยงามเพียงด้านเดียว เพราะการเลือก ใช้วัสดุปูพื้นที่เหมาะสมนอกจากจะช่วยให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานแล้วยัง ช่วย เพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัยอีกด้วย
วัสดุที่ใช้ปูพื้น
วัสดุที่ใช้ในการปูพื้นตามท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายชนิด โดยแต่ละชนิดจะให้ความสวยงาม ประโยชน์ในการใช้สอย และ ราคาที่แตกต่างกันออกไป ในที่นี้จะกล่าวถึงวัสดุชนิดต่างๆ ที่ใช้ในการปูพื้นที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป คุณสมบัติของวัสดุปูพื้นแต่ละชนิด ทั้งในแง่ของความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย ตลอดจนหลักการเลือกใช้วัสดุชนิดต่างๆ ว่าควรจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอะไรบ้าง อันเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ของที่ดีและเหมาะสม กับความต้องการของแต่ละคน วัสดุปูพื้นที่นิยมใช้กันทั่วไปในปัจจุบันอาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้
1. พื้นพรม
2. พื้นไม้จริง
3. พื้นไม้ปาร์เกต์
4. พื้นหินแกรนิตและหินอ่อน
5. พื้นกระเบื้องเคลือบ
6. พื้นกระเบื้องหินขัด
7. พื้นกระเบื้องยาง
8. พื้นคอนกรีตบล็อก

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

การซ่อมแซมพื้นภายในบ้าน หลังน้ำลด


การซ่อมแซมพื้นภายในบ้าน หลังน้ำลด (ตอน พื้นกระเบื้องเซรามิก)


วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

หินชนิดต่างๆ


หิน1 หิน หิน2 หินเกล็ด หินคลุก
หิน
จากที่กล่าวมาแล้วว่าบนพื้นผิวโลกมีดินปกคลุมอยู่เป็นชั้นบาง ๆ และจากการศึกษาผิวดินและหน้าตัดดินพบว่าส่วนประกอบที่เป็นของแข็งในดิน ส่วนใหญ่จะเป็นหิน กรวด ทราย ใต้ชั้นดินลงไปจะเป็นส่วนแข็งของพื้นผิวโลกที่ประกอบด้วยหินและแร่ เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับหินและแร่จึงควรศึกษาถึงลักษณะทั่วไป กระบวนการเกิด ชนิดและการนำหินและแร่ไปใช้ประโยชน์
  1. ลักษณะทั่วไปของหิน
หินเป็นวัสดุธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกที่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำและตามเพิงผาธรรมชาติ โดยกะเทาะหินให้มีเหลี่ยมคมเพื่อใช้เป็นอาวุธ เรียกว่าหินกะเทาะ และให้กินขัดถูกันให้เกิดประกายไฟเพื่อใช้ในการก่อไฟ เป็นต้น จึงเรียกมนุษย์ในสมัยนั้นว่ามนุษย์ยุคหิน ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักพัฒนาเทคโนโลยีสูงขึ้น จึงได้นำหินมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อาคาร และศาสนสถานต่าง ๆ ตลอดจนดัดแปลงทำเครื่องใช้ เครื่องประดับ ปัจจุบันมนุษย์ก็ยังใช้ประโยชน์จากหินอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้หินปูนผสมปูนซีเมนต์ในการก่อสร้าง ใช้หินแกรนิต หินอ่อนปูพื้นบ้าน ตกแต่งอาคาร ใช้หินทราย หินดินดาน หินชนวนปูสนาม และใช้หินปูนทำรากฐานของถนน เป็นต้น
ลักษณะทางกายภาพของหิน สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า โดยสังเกตลักษณะของสี ความแข็ง เนื้อหิน การเรียงตัวเป็นชั้น และซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่ในหิน เป็นต้น ส่วนประกอบเหล่านี้เป็นลักษณะของหินอย่างคร่าว ๆ? เมื่อใช้แว่นขยายส่องดู ทำให้สามารถสังเกตลักษณะทางกายภาพของหินได้ละเอียดมากขึ้น เช่น การจัดเรียงตัวของผลึกแร่ที่ประกอบกันเป็นเนื้อหิน ส่วนประกอบของเนื้อหินและซากดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กในหิน เป็นต้น ส่วนสมบัติทางเคมีของหินทดสอบได้ด้วยการหยดกรดลงบนหิน หินบางชนิดทำปฏิกิริยากับกรดได้ ผลจากการศึกษาลักษณะและสมบัติของหินโดยวิธีต่าง ๆ? สามารถนำไปใช้จำแนกชนิดของหินและการใช้ประโยชน์ของหินแต่ละชนิดในด้านต่าง ๆ
    1. หินตะกอน
การเกิดหินตะกอน
จากการศึกษาจากสมบัติการละลายของตะกอน พบว่าเมื่อนำตะกอนชนิดต่าง ๆ ใส่ลงในน้ำ ตะกอนเนื้อละเอียดที่อ่อนนุ่มจะหลุดร่วงออกเป็นบางส่วน? เศษหิน กรวด ทรายจะตกตะกอน? ส่วนซากพืช หรือเศษไม้? อาจจมหรือลอยอยู่บนผิวน้ำก็ได้? สิ่งต่าง ๆที่แขวนลอยในน้ำจะเกิดการตกตะกอน ในธรรมชาติกระบวนการที่สำคัญในการเกิดหินตะกอนคือ การกัดกร่อน การผุพัง การพัดพา การสะสมตัวหรือการตกตะกอน และการแข็งตัวกลายเป็นหิน กล่าวคือหลังจากที่หินถูกกัดกร่อนผุพังกลายเป้นตะกอน? ต่อมาน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง? พัดพาตะกอนเหล่านั้นไปตามความลาดชันของพื้นที่? จากภูเขาลงสู่ที่ราบตามแม่น้ำ ลำคลอง ทะเล และมหาสมุทร เป็นต้น จนกระทั่งการพัดพาสิ้นสุดลงเนื่องจากความเร็วหรือพลังงานในการพัดพาลดลง ทำให้ตะกอนเหล่านั้นตกสะสมตัวตามสภาพแวดล้อมของบริเวณนั้น และมีการสะสมทับถมในระยะเวลานาน ตะกอนที่ทับถมกันมีความหนามากขึ้น? น้ำหนักของตะกอนที่ทับถมกันทำให้ตะกอนอัดตัวแน่นมากขึ้น และสารที่แทรกอยู่ระหว่างรูพรุนของเม็ดตะกอนจะช่วยเชื่อมตะกอนให้ยึดติดกัน จนในที่สุดตะกอนทับถมแข็งตัวกลายเป็นหิน
น้ำมีสมบัติเป็นตัวพาที่ดี และด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อวัตถุ ทำให้น้ำพัดพาวัตถุจากที่สูงไหลลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้นเมื่อน้ำพัดพาตะกอนที่มีขนาดต่างกันมารวมกันในบริเวณที่เป็นแอ่ง ตะกอนที่มีขนาดใหญ่จะตกก่อนอย่างรวดเร็วทับถมกันเป็นชั้นอยู่ด้านล่างสุด ส่วนตะกอนที่มีขนาดเล็กซึ่งตกตะกอนทีหลัง ก็จะสะสมตัวทับถมกันอยู่ชั้นบนขึ้นมาตามลำดับทำให้เกิดเป็นชั้นตะกอนที่ขนาน กัน มีการเรียงขนาดจากเม็ดใหญ่ขึ้นไปหาเม็ดเล็ก และต่อมาตะกอนเหล่านั้นจะแข็งตัวกลายเป็นหิน เราเรียกชั้นหินลักษณะนี้ว่าการวางชั้น (bedding) แบบเรียงขนาด
ส่วนการพัดพาตะกอนในธรรมชาติ เนื่องจากน้ำมีการไหลด้วยวามเร็วที่แตกต่างกัน และจากสมบัติแรงลอยตัวของน้ำ ทำให้น้ำสามารถพัดพาตะกอนไปได้เป็นระยะทางไกล ตะกอนที่ถูกพัดพาไปกับสามน้ำจะประกอบด้วย ตะกอนนอนก้น ซึ่งเป็นตะกอนขนาดใหญ่ที่มักจะตกตะกอนก่อน ส่วนมากจะเคลื่อนที่ไปตามท้องน้ำ ส่วนตะกอนแขวนลอยซึ่งเป็นตะกอนขนาดเล็กจะถูกพัดพาอยู่ส่วนบนของสายน้ำ ตะกอนที่มีขนาดเล็กกว่าจะถูกพัดพาต่อไป กระแสน้ำยิ่งพัดพาไปไกลจากแหล่งต้นกำเนิดมาก ก็จะเหลือแต่ตะกอนที่มีขนาดเล็กลง
การสะสมตัวของเศษหิน กรวด ทราย และดินละเอียด ที่ทับถมในน้ำ ทำให้เกิดเศษตะกอนเป็นชั้น ๆ เรียงตามขนาดของตะกอน ส่วนที่มีขนาดเล็กถึงละเอียด จะแทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างตะกอนหยาบของทราย และกรวด ในฤดูแล้งเมื่อน้ำระเหยแห้งไป ตะกอนจะจับตัวกันแน่นมากขึ้น และเมื่อถึงฤดูฝนน้ำจะพัดพาตะกอนมาสะสมทับถมกันมากขึ้นอีก เกิดเป็นชั้นตะกอนหนาขึ้นเรื่อย ๆ
ในบริเวณที่เป็นแหล่งสะสมตะกอนที่ทับถมกันเป็นชั้นหนา? จะมีการกดทับจากน้ำหนักของชั้นตะกอนที่วางทับอยู่ด้านบน? ทำให้น้ำที่แทรกซึมอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดตะกอนถูกบีบอัด ไหลออกไปจากช่องว่างนั้น แร่ธาตุต่าง ๆที่ละลายหรือแขวนลอยอยู่ในน้ำ เช่น น้ำปูน น้ำสนิมเหล็ก น้ำซิลิกา และน้ำโคลน จะเป็นตัวเชื่อมประสานทำให้ตะกอนจับตัวกันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดตะกอนเหล่านั้นก็จะแข็งตัวกลายเป็นหินตะกอน
ในบางพื้นที่จะมีแอ่งสะสมตะกอนที่มีซากพืชและซากสัตว์ถูกพัดพามาทับถมอยู่ ด้วย บางครั้งก็เป็นซากพืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อพืชและสัตว์ตาย เนื้อเยื่อจะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลาย จนเหลือเฉพาะส่วนที่เป็นโครงสร้างแข็ง เช่น กระดูก ฟัน ลำต้น หรือเปลือกหอย แร่ธาตุต่าง ๆที่ละลายปนอยู่ในน้ำจะไหลซึมแทรกไปตามรูพรุนของซากพืชและซากสัตว์เหล่านั้น อย่างช้า ๆ โดยเข้าไปแทนที่เนื้อเยื่อที่ถูกย่อยสลายออกไป? ทำให้โครงสร้างของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยังคงรูปร่างเดิมไว้ได้ เช่น ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ ที่ภูกุ้มข้าว จังหวัดกาฬสินธุ์ หรือสุสานหอยที่จังหวัดกระบี่ และไม้กลายเป็นหินที่จังหวัดนครราชสีมา กาฬสินธุ์ และกำแพงเพชร เป็นต้น ในบางครั้งการกดทับของตะกอนทำให้ซากพืชและสัตว์เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากเดิม โดยสิ้นเชิง ซึ่งจะกล่าวต่อไปในเรื่องเชื้อเพลิง
จากกระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดหินตะกอนลักษณะต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันเรานำหินตะกอนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
กระบวนการเกิดและตัวอย่างหินตะกอนชนิดต่าง ๆ

กระบวนการเกิด
ตัวอย่าง
หินตะกอนชนิดเม็ด เกิดจากกระบวนการสะสม ทับถมของตะกอนเม็ดขนาดต่าง ๆ พบเห็นได้มากที่สุด หินทราย? หินทรายแป้ง? หินกรวดมน
หินกรวดเหลี่ยม? หินดินดาน
หินตะกอนที่เกิดจากการย่อยสลาย และแปรสภาพของสิ่งมีชีวิต ถ่านหิน หินปูนจากซากปะการัง
หินตะกอนที่เกิดจากการระเหยของน้ำในสารละลาย หรือเกิดจากการตกตะกอนสะสมตัวของสารที่ละลายอยู่ในน้ำ เกลือหิน หินปูนที่ตกตะกอนจากน้ำทะเล
จากข้อมูลพบว่ากระบวนการการเกิดหินบ่งบอกลักษณะของหินตะกอนได้? กล่าวคือถ้าเป็นการสะสมทับถมของเม็ดตะกอนขนาดใหญ่? และตะกอนเหล่านั้นถูกพัดพามาไกลจากแหล่งกำเนิดเดิม? ตะกอนจะถูกขัดสีจนเป็นก้อนมนกลม? เรียกว่าหินกรวดมน? แต่ถ้าเป็นตะกอนที่ถูกพัดพามาไม่ไกลจากแหล่งกำเนิดเดิมยังคงเป็นเหลี่ยม? เรียกว่าหินกรวดเหลี่ยม? ถ้าเป็นการสะสมทับถมของตะกอนเม็ดทรายเป็นส่วนใหญ่? จะเกิดเป็นหินทราย? ถ้าเป็นตะกอนเม็ดทรายละเอียดสะสมทับถมรวมกัน? เรียกว่าหินทรายแป้ง? ถ้าเป็นตะกอนที่มีขนาดละเอียดมากสะสมทับถมรวมกันมีแนวแตกเป็นชั้นบางซ้อนกัน ถี่ ๆ เรียกว่าหินดินดาน? ถ้าเป็นแถบไม่เป็นชั้นชัดเจน? จะเป็นหินโคลน
นอกจากนี้ยังมีหินตะกอนที่เกิดจากการตกตะกอนของสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตใน ทะเล? และที่เกิดจากการทับถมของซากเปลือกหอย ซากปะการังในทะเล? ซึ่งในที่สุดจะแข็งตัวเป็นหินเนื้อแน่น? เรียกว่าหินปูน
ลักษณะและประโยชน์ของหินตะกอนชนิดต่าง ๆ ที่พบในประเทศไทย

ชื่อหิน
ลักษณะเนื้อหิน
ตัวอย่างแหล่งที่พบ
ประโยชน์
หินกรวดมน
หินกรวดเหลี่ยม
เนื้อหยาบ เม็ดตะกอนส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตรขึ้นไป ประกอบด้วยกรวดที่มีลักษณะมน เรียกว่า หินกรวดมน? ถ้าประกอบด้วยกรวดที่มีลักษณะเป็นรูปเหลี่ยม เรียกว่า หินกรวดเหลี่ยม พบมากในบริเวณที่ราบสูงโคราช เช่น จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง? ใช้เป็นหินประดับ? และแกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ
หินทราย เนื้อหยาบถึงละเอียด? เม็ดตะกอนมีขนาดระหว่าง 0.062 ? 2 มิลลิเมตร? ประกอบด้วยเศษหิน เศษแร่ที่มีลักษณะกลมหรือเหลี่ยม พบมากในบริเวณที่ราบสูงโคราช เช่น จังหวัดชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา? และภาคใต้พบที่จังหวัดสุราษฏ์ธานี ใช้ในการก่อสร้างและการแกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ ใช้เป็นหินประดับ
หินทรายแป้ง เนื้อละเอียด? มีขนาดของเม็ดตะกอนระหว่าง 0.003 ? 0.062 มิลลิเมตร พบมากในบริเวณที่ราบสูงโคราช ให้ทำหินลับมีด และหินประดับ
หินโคลน
หินดินดาน
เนื้อละเอียดมาก มีขนาดของเม็ดตะกอนน้อยกว่า 0.003 มิลลิเมตร? ประกอบด้วยแร่ดินเหนียว? ถ้ามีลักษณะเป็นชั้น? หรือมีแนวแตกถี่เรียกว่าหินดินดาน? ถ้าเนื้อหินประกอบด้วยดินเหนียวและทรายแป้ง ไม่มีแนวแตกถี่? เรียกว่า หินโคลน จังหวัดภูเก็ต
สุราษฏ์ธานี
กาญจนบุรี
สระบุรี
ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และเซรามิก
หินปูน เนื้อแน่น ประกอบด้วยแร่แคลไซต์เป็นส่วนใหญ่? ซึ่งบางครั้งจะเห็นเป็นสายแร่อยู่ในหิน จังหวัดราชบุรี
กาญจนบุรี สระบุรี
ลพบุรี เพชรบูรณ์
ทำปูนซีเมนต์ ปูนขาว ใช้ในงานก่อสร้าง ใช้ในงานอุตสาหกรรมฟอกหนัง และน้ำตาล
ภูมิลักษณ์ของภูเขาที่เป็นหินตะกอนจะมีรูปแบบเฉพาะโดดเด่นสวยงาม? ทั้งจากการเรียงชั้นของหิน? และจากการกัดเซาะผุพัง? แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยหลายแห่งเป็นหินตะกอน เช่น ภูกระดึง ป่าหินงาม ผาแต้ม สุสานหอย น้ำตก และถ้ำต่าง ๆ เป็นต้น? หินตะกอนพบได้ทั่วไปตามภูมิภาคต่าง ๆของประเทศไทย? แต่ที่มีมากได้แก่บริเวณที่ราบสูงโคราช
    1. หินอัคนี
การเกิดหินอัคนี
สารต่าง ๆที่หลอมเหลวอยู่ใต้โลก? จะมีลักษณะเป็นหินหนืด เรียกว่า แมกมา (magma) มีอุณหภูมิสูง? แมกมาจะดันตัวแทรกขึ้นมาจนถึงระดับหนึ่งภายใต้เปลือกโลกซึ่งอยู่ในสภาวะที่ อุณหภูมิลดลง? แมกมาจะถ่ายโอนความร้อนไปยังบริเวณรอบ ๆ? เกิดการเย็นตัวและแข็งตัวอย่างช้า ๆ เกิดเป็นผลึกแร่ขนาดใหญ่? ทำให้หินมีเนื้อผลึกหยาบ? โดยทั่วไปจะมีแร่หลายชนิดสอดประสานเกาะกันแน่น? เนื้อหินมีลักษณะแน่นแข็ง? เป็นหินอัคนีแทรกซอน? ได้แก่ หินแกรนิต หินไดออไรต์ หินแกบโบร เป็นต้น
หินอัคนีอีกประเภทหนึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ? เมื่อแมกมาพุ่งหรือระเบิดพุ่งขึ้นมาบนผิวโลกในรูปของเหลวร้อนเรียกว่า ลาวา? ลาวาที่เย็นตัวและแข็งตัวอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงเกิดเป็นหินที่มี ลักษณะเป็นรูพรุน? เช่น หินพัมมิช และหินสคอเรีย? บางส่วนมีลักษณะเนื้อเนียนเป็นแก้ว? เช่น หินออบซิเดียน? ส่วนลาวาที่ถูกดันตามขึ้นมาและไหลไปตามพื้นผิวโลก จะตกผลึกและแข็งตัวที่บริเวณผิวโลก หรือใกล้ผิวโลก? ส่วนมากมีเนื้อแน่นเป็นผลึกที่มีขนาดเล็กมาก? ได้แก่ หินไรโอไลต์? หินบะซอลต์ และหินแอนดีไซต์? หินทั้งหมดนี้ เรียกว่า หินอัคนีพุ หรือ หินภูเขาไฟ? บางครั้งลาวาที่ไหลขึ้นมาบนผิวโลกจะนำแร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ภายในโลกขึ้นมาด้วย เมื่ออุณหภูมิลดลงลาวาแข็งตัว เป็นหินบะซอลต์ที่มีผลึกแร่ธาตุดังกล่าวแทรกปนอยู่ด้วย
หินอัคนีมีสีต่าง ๆกัน? ถ้ามีสีอ่อนแสดงว่าส่วนใหญ่ประกอบด้วยผลึกของแร่ควอตซ์และแร่เฟลด์สปาร์สี อ่อน? ซึ่งตกผลึกในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ? ส่วนหินอัคนีที่มีสีเข้มส่วนใหญ่ประกอบด้วยแร่สีเข้ม? แสดงว่าส่วนใหญ่ประกอบด้วยผลึกของแร่โอลิวีน และแร่ไพรอกซีน ซึ่งตกผลึกในที่ที่มีอุณหภูมิสูง? แร่โอลิวีน แร่ไพรอกซีน แร่คอรันดัม มีสมบัติเฉพาะที่ใช้ทำอัญมณีได้? ใบบางกรณีที่ภูเขาไฟระเบิดพ่นเศษหิน? หรือเถ้าภูเขาไฟและลาวาปะปนกันออกมาอย่างมาก และไหลลงสู่ที่ลาดต่ำ? ซึ่งบางครั้งก็มีโคลนไหลปนลงมาด้วย? ถ้าไหลผ่านบ้านเรือนและสิ่งมีชีวิตที่อพยพไม่ทัน? เถ้าร้อนเหล่านั้นก็จะปกคลุมสิ่งต่าง ๆที่ไหลผ่านไป เช่น? การระเบิดของภูเขาไฟวิซุเวียส? ประเทศอิตาลี เมื่อปีพ.ศ. 622? ส่งผลให้ทุกสิ่งในเมืองปอมเปอิถูกฝันอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟเป็นเวลาหลายศตวรรษ เป็นต้น
ลักษณะและประโยชน์ของหินอัคนีชนิดต่าง ๆ ที่พบในประเทศไทย

ชื่อหิน
ลักษณะเนื้อหิน
ตัวอย่างแหล่งที่พบ
ประโยชน์
แกรนิต เนื้อหยาบถึงหยาบมาก เนื้อหินสม่ำเสมอ? อาจมีดอกผลึกแร่เกาะประสานกันแน่น มีสีอ่อน น้ำตกพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี? ภูสะเทิง จังหวัดเลย? ดอยขุนตาล จังหวัดลำปาง เทือกเขาบริเวณ อำเภอเถิน จังหวัดตาก? เทือกเขาบริเวณเขตแดนไทย-พม่า ภูเขาในชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของจังหวัดภูเก็ต เช่น แหลมพรหมเทพ เป็นต้น ทำหินประดับ ปูพื้น ผนังอาคาร เป็นหินสลัก และบางชนิดเป็นหินต้นกำเนิดแร่ดีบุก
ไรโอไลต์ เนื้อละเอียดมาก อาจมีแร่ดอกสีอ่อน ขาว ชมพู เทา จังหวัดสระบุรี ตาก ลพบุรี เลย เพชรบูรณ์ ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิก และก่อสร้าง
ไดออไรต์ เนื้อหยาบ ผลึกมักมีขนาดเดียวและสม่ำเสมอ มีสีดำ เทาเข้ม จังหวัดสระบุรี ตาก ลพบุรี เลย เพชรบูรณ์ ใข้เป็นหินประดับ? และใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ใช้ทำครก
แอนดีไซต์ เนื้อละเอียดแน่นทึบ สีม่วง เขียว เทาแก่ และดำเข้ม พบใกล้แหล่งหินไรโอไลต์ บริเวณจังหวัดสระบุรี ตาก เพชรบูรณ์ ใช้เป็นหินประดับ และใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ใช้ทำครก
แกบโบร เนื้อหยาบ ผลึกแร่ใหญ่ มีสีเข้ม จังหวัดอุตรดิตถ์ เขียงราย ลำปาง ระยอง ใช้เป็นหินประดับ
บะซอลต์ เนื้อแน่น ละเอียด มักมีรูพรุน สีดำเข้ม จังหวัดจันทบุรี ตราด กาญจนบุรี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ลำปาง ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และบางบริเวณเป็นหินต้นกำเนิดอัญมณี
1.3 หินแปร
ความร้อนและความดันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หินเปลี่ยนสภาพจากชนิดหนึ่งไป เป็นอีกชนิดหนึ่ง? สาเหตุอื่นที่ทำให้หินแปรสภาพได้? ได้แก่? การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก? การกดทับของชั้นหินที่อยู่ด้านบน? ส่งผลให้เกิดความร้อนและความดันสูง และการมีของเหลวแทรกซึมเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับหินในบริเวณนั้น สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ส่งผลให้หินถูกแรงกระทำในทิศทางต่าง ๆ ทำให้เนื้อหินเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น แร่เดิมที่อยู่ในหินอาจมีการเรียงตัวใหม่ในแบบขนานกันและปรากฏขึ้นเป็นริ้ว ขนาน (Foliation) เป็นแถบเป็นลายสลับสี หรือการตกผลึกใหม่ เนื่องจากถูกแรงกดดันและอุณหภูมิสูง กลายเป็นแร่ชนิดใหม่ เป็นต้น หินที่มีการแปรสภาพดังกล่าวข้างต้นนี้เรียกว่า หินแปร
ชนิด ลักษณะ และประโยชน์ของหินแปร
ประเทศไทยมีแหล่งหินแปรกระจายอยู่ทั่วไป บางแหล่งมีหินแปรหลายชนิด เช่น น้ำตกบางเท่าแม่ อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา พบหินชีสต์ หินควอร์ตไซต์ หินไมกาชีสต์
การแปรสภาพของหินจะเกิดในช่วงเวลาที่หินยังคงอยู่ในสภาพของแข็ง หินแปรมีลักษณะต่าง ๆกัน เช่น หินชนวน? แปรสภาพมาจากหินดินดาน เนื้อหินจะละเอียด แน่น และมีสภาพเป็นชั้นอย่างชัดเจน? หินควอร์ตไซต์ แปรสภาพมาจากหินทราย มีการตกผลึกใหม่ของแร่ควอตซ์? ทำให้เนื้อหินประสานตัวกันแกร่ง และแน่นมากกว่าหินทราย? ส่วนหินอ่อนแปรสภาพมาจากหินปูน? เนื้อหินแกร่งขึ้น มีแร่แคลไซต์ตกผลึกใหม่ประสานกันดีและแน่นขึ้นกว่าหินปูน สีอาจเปลี่ยนไปด้วย? นอกจากนั้นหินดินดานอาจแปรสภาพมากขึ้น? กลายเป็นหินฟิลไลต์ หรือ หินชีสต์ ส่วนหินทรายและหินแกรนิต? ก็อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นหินไนส์ เนื่องจากแร่ในเนื้อหินเกิดการตกผลึกใหม่ ทำให้ผลึกมีขนาดใหญ่ขึ้น แร่ดังกล่าวได้แก่? แร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ และแร่ไมกา เป็นต้น
จากการสังเกตหินแปรจากชุดหินตัวอย่างด้วยตาเปล่า? พบว่าหินแปรแต่ละก้อนจะมีสีต่างกัน ลักษณะภายนอกโดยรวมต่างกัน? แต่เมื่อใช้แว่นขยายส่องดูหินแต่ละก้อน? จะพบว่าหินมีลักษณะเหมือนถูกบีบอัด หินบางก้อนจะมีผลึกของแร่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบปนอยู่? ดังที่กล่าวแล้วในตอนต้น

ชื่อหิน
ลักษณะเนื้อหิน
ตัวอย่างแหล่งที่พบและประโยชน์
หินเดิม
หินชนวน เป็นแผ่นบาง ๆ เรียงตัวขนานไปทางเดียวกัน ผิวหน้าเรียบ แซะเป็นแผ่นบางได้ง่าย ประกอบด้วยแร่ไมกา และแร่ควอตซ์เป็นส่วนใหญ่ จังหวัดสระบุรี กาญจนบุรี สงขลานครราชสีมาใช้ทำหินประดับ ปูพื้น และมุงหลังคา หินดินดาน
หินทัฟฟ์
หินฟิลไลต์ มีลักษณะคล้ายหินชนวน แต่เนื้อหยาบหยาบกว่า มีลักษณะเป็นชั้นเรียงตัวขนานกัน ผิวหน้าหินส่วนใหญ่จะราบและเป็นมัน เนื่องจากมีแร่ไมกาเป็นส่วนประกอบมากขึ้น จังหวัดเชียงใหม่ กาญจนบุรี สงขลา ใช้ทำหินประดับ หินดินดาน
หินทัฟฟ์
หินชีสต์ เนื้อหยาบ มีลักษณะเป็นแผ่นแร่เรียงตัวขนานกัน? ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแร่ไมกา คลอไรด์ ฮอร์นเบลนด์ ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ การ์เนต เป็นต้น เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ใช้ทำหินประดับ หินดินดาน
หินทัฟฟ์
หินไนส์ มีลักษณะเป็นริ้วขนานกัน เนื้อแน่นแข็ง มีผลึกเป็นแถบของแร่ต่าง ๆ ถ้ามีแร่ไบโอไทต์ ฮอร์นเบลนด์ จะมีสีเข้ม? ถ้ามีแร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ จะมีสีจาง เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี เทือกเขาดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ใช้ทำหินประดับ หินก่อสร้าง หินทราย
หินแกรนิต
หินควอตซ์ไซต์ มีลักษณะเป็นเม็ด เนื้อแน่นแข็ง ประกอบด้วยแร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่? เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ใช้ทำหินก่อสร้าง หินทราย
หินอ่อน เนื้อละเอียดถึงหยาบ เนื้อแน่น และมีผลึกของแร่แคลไซด์ จังหวัดสระบุรี สุโขทัย ชัยนาท เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และ ยะลา ใช้ทำหินประดับ วัสดุก่อสร้าง หินปูน
หินโดโลไมต์

การดูแลหินอ่อน


คำเตือนสำหรับบ้านที่ปูหินอ่อน หินแกรนิต หรือ หินธรรมชาติ

หินอ่อน หินแกรนิต มีราคาแพงและมีคุณค่า สีหิน ความเงางามสวยงามตามธรรมชาติจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาให้สวยงามตลอด
ไป การละเลยในช่วงต้นจะมีผลให้เสียหาย ไม่สามารถแก้ไขได้

ปัญหา หินอ่อน หินแกรนิต หรือหินธรรมชาติ มีคราบเหลือง สีคล้ำหลังจากการติดตั้ง

หินเกิดรอยช้ำน้ำ น้ำมัน ตามแนวต่อ ฝุ่นสิ่งสกปรกสะสมตามรูพรุนแก้ไขไม่ได้ เกิดรอยขีดข่วน รอยด่าง เกิดคราบขาว สนิมหิน
เป็นขี้เกลือ รอยแตกบนผิว กะเทาะ หลุดกร่อน หมดความเงางาม, หินมีสภาพเก่า

สาเหตุของปัญหาคือ
น้ำ ซึมจากใต้ดิน ความชื้นในอากาศ การเช็ดล้างประจำวันทำให้เกิดคราบเหลือง รอยด่างดำ อากาศ
สภาพ ความเป็นกรดในอากาศ ทำให้หินหมดความเงางาม ฝุ่นละออง สะสมฝังตัวเข้าในรูพรุนตามเนื้อบ้าน ทำให้หินหมองคล้ำ เกิดคราบสกปรก สารเคมี เช่น น้ำมัน แว๊กซ์ น้ำปูน น้ำยาขัดล้าง ทำให้เกิดรอยด่าง หินเปลี่ยนสี ทำลายหน้าหิน

ขัดลอกหน้าบันไดCleaning Polishing Marble

การดูแลรักษาหินอ่อน

หินอ่อนเป็นหินทีมี ลอยแยกตามธรรมชาิติในเนื้อของตัวมันเองเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการดูแลรักษาเป็นพิเศษ และต้องทำความสะอาดมากกว่าหินชนิดอื่นๆ เรามีวิธีดูแลรักษาและทำความสะอาดมาฝาก


การดูแลรักษา
1. ควรลงน้ำยาเคลือบเงาด้วยแว็กซ์ หรือ น้ำมันมะกอก (ชนิดที่ไม่มีสี) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้หินอ่อนมีสีที่สดและเงาอยู่เสมอ

2. หินอ่อนเมื่อใช้ไปนาน ๆ ผิวจะด้าน อาจใช้แว็กซ์ที่ลงพื้นไม้ลงและขัด เพื่อให้หินอ่อน มีความเงางามขึ้น


การทำความสะอาด
1. ใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นทั่วไป ผสมน้ำให้น้ำยาเจือจางลงแล้วเช็ดถูและห้ามใช้น้ำยา
ประเภทกรด เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ โดยเด็ดขาด

2. หากหินอ่อนเปื้อนมากๆ อาจใช้น้ำสบู่ทา ขัดด้วยแปรงสีฟันเบาๆ และล้างด้วยน้ำเปล่า

3. คราบไวน์ ชา กาแฟ ให้ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ส่วนผสมน้ำ 4 ส่วนแล้วเช็ดออกทันที
ทำซ้ำถ้าคราบยังไม่หาย


ข้อควรระวัง
1. หลีกเลี่ยงและระวังสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว ฯลฯ หากถูกสารดังกล่าว
ให้รีบเช็ดออกแล้วทำความสะอาด

2. หินอ่อนที่เป็นสีดำไม่ควรปล่อยให้เปียกน้ำนาน ๆ เพราะจะเป็นรอยด่างไม่สวยงาม

3. หากเราต้องการนำผลิตภัณฑ์หินอ่อนไปตั้งประดับไว้กลางแจ้ง ควรเลือกหินอ่อนที่มีสีขาว
เนื่องจากหินอ่อน เมื่อตากแดดตากฝนเป็นเวลานานๆ จะทำให้ความมันเงาหายไป เพราะสีของ
หินอ่อนจะเด่นชัด เมื่อทำให้มีความมัน หากความมันนี้หายไปสีจะซีดลง แต่หินอ่อนสีขาวจะยังคง
สีเดิมไม่ต่างไปมากนัก

4. การเลือกใช้หินอ่อนนั้น ควรเลือกใช้บริเวณที่ไม่มีของหนักมาวางทับและต้องย้ายของหนักนั้นบ่อยๆ เพราะหินอ่อนจะเป็นรอยได้ง่าย


ไม่ แนะนำใช้หินอ่อนในที่ที่อาจโดนสารเคมี, เครื่องปรุง หรืออาหาร เช่น บริเวณห้องครัว, ที่เตรียมอาหาร หรือห้องรับประทานอาหาร ควรใช้ หินแกรนิต, หินควอทซ์, หรือ กระเบื้องเซรามิก แทนจะดีกว่า



tags : ข้อควรระวังในการใช้งานหินอ่อนสำหรับงานก่อสร้างและตกแต่ง